มลภาวะทางเสียง (Noise Pollution) ต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
มลภาวะทางเสียง หรือที่เรียกว่าเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อม หมายถึง เสียงที่ไม่พึงประสงค์หรือเสียงที่ดังมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ แหล่งที่มาของมลพิษทางเสียงมาจากหลายแหล่งด้วยกัน ผลกระทบของมลภาวะทางเสียงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับและระยะเวลาที่รับสัมผัส รวมถึงความไวของแต่ละบุคคลด้วย
แหล่งที่มาของ มลภาวะทางเสียง
แหล่งที่มาของมลพิษทางเสียง มีอยู่มากมาย ซึ่งแหล่งที่มาหลักของมลพิษทางเสียง ได้แก่
- การคมนาคมขนส่ง เช่น รถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน
- กิจกรรมทางอุตสาหกรรม เช่น การก่อสร้างและการผลิต
- กิจกรรมเชิงพาณิชย์และสันทนาการ เช่น คอนเสิร์ต การแสดงดอกไม้ไฟ
- มลพิษทางเสียงสามารถเกิดขึ้นได้จากแหล่งธรรมชาติ เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงลม เสียงพายุ
โดยทั่วไปมลพิษทางเสียงจะวัดเป็นเดซิเบล (dB) โดยใช้เครื่องวัดระดับเสียง ระดับเดซิเบลเป็นแบบลอการิทึม หมายความว่าการเพิ่มขึ้น 10 เดซิเบล แสดงถึงพลังงานเสียงที่เพิ่มขึ้นสิบเท่า องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าระดับเสียงโดยเฉลี่ยในบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ควรเกิน 30-40 เดซิเบลในตอนกลางวัน และ 20-30 เดซิเบลในตอนกลางคืน อย่างไรก็ตาม มาตรฐานของเสียงจะแตกต่างกันไปตามสถานที่และประเภทของเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น
มลพิษทางเสียงต่อสุขภาพของมนุษย์
มลพิษทางเสียงส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางเสียง ได้แก่
- สูญเสียการได้ยิน: การได้รับเสียงดังเป็นเวลานานทำลายเซลล์ขนในหูชั้นใน นำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: มลพิษทางเสียงเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
- ความเครียด: ความเครียดที่เกิดจากเสียงทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น อะดรีนาลินและคอร์ติซอล ซึ่งสามารถเพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจได้
- รบกวนการนอนหลับ: มลภาวะทางเสียงอาจทำให้หลับยากและหลับไม่สนิท นำไปสู่การนอนไม่หลับและความเหนื่อยล้า และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ รวมถึงภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
- ความบกพร่องทางสติปัญญา: มลภาวะทางเสียงส่งผลเสียต่อการทำงานของการรับรู้ โดยเฉพาะในเด็ก อาจทำให้ความจำ ความสนใจ และความสามารถในการเรียนรู้ลดลง
- ความทุกข์ทางจิตใจ: มลพิษทางเสียงสามารถทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิด โกรธ และวิตกกังวล และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้าและโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ
- การสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน: มลภาวะทางเสียงรบกวนสมาธิเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่มีสมาธิในงานที่กำลังทำอยู่
แต่ละคนมีความไวต่อเสียงต่างกัน จึงเป็นสาเหตุให้บางคนอาจได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่นๆ จากมลพิษทางเสียงในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับ ความดังและความถี่ของเสียง และลักษณะส่วนบุคคล เช่น อายุ สุขภาพ และรูปแบบการใช้ชีวิต
มลพิษทางเสียงต่อสิ่งแวดล้อม
มลพิษทางเสียงนอกจากส่งผลกระทบต่อมนุษย์แล้ว ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าด้วยเช่นกัน เช่น
- การสื่อสารของสัตว์หยุดชะงัก: มลพิษทางเสียงอาจรบกวนความสามารถของสัตว์ในการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการหาอาหาร การหาคู่ และการป้องกันตัวเองจากผู้ล่า
- การสูญเสียที่อยู่อาศัย: เสียงดังทำให้บางพื้นที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ทำให้สัตว์ต้องย้ายถิ่นฐานและอาจทำให้จำนวนประชากรสัตว์ลดลง
- ความเครียดและผลกระทบทางสรีรวิทยา: มลพิษทางเสียงทำให้เกิดความเครียดและการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในสัตว์ เช่น การเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและระดับคอร์ติซอล ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาว
- การผสมพันธุ์หยุดชะงัก: มลพิษทางเสียงก่อให้เกิดการรบกวนการผสมพันธุ์ของสัตว์ นำไปสู่การลดลงของประชากร
- ผลกระทบด้านลบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ: มลพิษทางเสียงส่งผลด้านลบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ทำให้ปลาและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลสับสนและบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังสามารถขัดขวางการให้อาหารและการผสมพันธุ์
- ผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร: มลพิษทางเสียงอาจส่งผลเสียต่อห่วงโซ่อาหาร เช่น ทำให้สัตว์ที่เป็นเหยื่อกลัวหรือทำให้ผู้ล่าล่าได้ยากขึ้น
- มลพิษทางเสียงส่งผลเสียต่อสัตว์ป่าได้หลากหลาย เช่น ขัดขวางการสื่อสาร พฤติกรรม การสืบพันธุ์ และการอยู่รอดของของสัตว์ป่าหลายชนิด
การป้องกันมลภาวะทางเสียง
การป้องกันมลภาวะทางเสียงที่สามารถทำได้มีหลายวิธี ต่อไปนี้คือการป้องกันมลภาวะทางเสียง
- จำกัดการใช้เสียงดังโดยไม่จำเป็น: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ส่งเสียงดังเมื่อไม่จำเป็น และพยายามไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ส่งเสียงดัง เช่น เครื่องเลื่อยไม้ เครื่องตัดหญ้า
- ใช้ฉนวนที่บ้านหรือที่ทำงาน: ใช้วัสดุป้องกันเสียงเพื่อลดปริมาณเสียงที่เข้าหรือออกจากบ้านหรือที่ทำงาน
- ปลูกต้นไม้: ต้นไม้ทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นเสียงตามธรรมชาติและช่วยลดมลพิษทางเสียงในเขตเมืองได้
- สนับสนุนการควบคุมเสียงของชุมชน: สนับสนุนการลดมลพิษทางเสียงของชุมชน เช่น การวิ่งเต้นเพื่อออกกฎหมายทางเสียงที่เข้มงวดขึ้น หรือเข้าร่วมกลุ่มชุมชนที่ทำงานเพื่อลดมลพิษทางเสียง
- สนับสนุนการขนส่ง: สนับสนุนการใช้ตัวเลือกการขนส่ง เช่น การเดิน การขี่จักรยาน หรือการขนส่งสาธารณะ สามารถช่วยลดเสียงรบกวนจากการจราจรได้
สรุป
การป้องกันมลพิษทางเสียงต้องอาศัยความพยายามร่วมกันจากทุกฝ่าย เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมลพิษทางเสียงส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว และหากต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน หรือเป็นประจำควรตรวจสมรรถภาพการได้ยินอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเฝ้าระวังด้านสุขภาพ